วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Chinese Herbal Remedies for Acne

Acne is a common skin physical state that is characterized by many symptoms, such as pimples, blackheads, and whiteheads. Almost everybody develops acne, no matter what ethnicity, age group, or gender. Studies have stubborn that acne ordinarily starts around the age of adolescence, where young men and young women are going through rapid hormonal changes in the dramatize of puberty.

How does one get acne? According to sources, this occurrence is not usually caused by food, but the symptoms, like pimples, whiteheads, and blackheads, can be aggravated by certain types of food. Just a short article of the skin: the surface is called the epidermis, with trillions of tiny openings called pores. Below that layer is the dermis, which contains oil glands or sebaceous glands, hair follicles, and sensory receptors. Acne happens when the sebaceous glands overproduce oil, which can remain within the pores when dead skin cells or hair follicles block it. Pimples are raised bumps on the epidermis which are filled with pus or oil.

http://static.howstuffworks.com/gif/traditional-chinese-herbal-medicine-1.jpghttp://303tek.com/wp-content/uploads/podpress_temp/2009/02/acne1-main_full.jpg

There are many ways by which acne can be treated, but as studies have shown, there is still no definite way of preventing the symptoms from coming back. A lot of researches say that acne is more genetic in nature, as some persons actively secret more oil from their glands than others. Keeping the skin clean, and washing it regularly with mild soap and warm water maintains its integrity. Also, when you have pimples, avoid popping or squeezing them as this can create a scar or a skin infection. There are creams and other skin products that are public in the market, but there is a majority of acne victims that choose to use Chinese herbs for treating the problem.

Dating back thousands of years, Chinese medicine has long used products from nature, such as plants and fungi, for curing certain conditions. The effectiveness and success of such remedies have been the focus of hundreds of medical studies, which is why at the present, thousands of these Chinese herbs have been composite into up-to-date medicine.

What are the Chinese herbs that are often recommended for treating acne?

1. Root water

Root water is a Chinese herbal product obtained from the forests of China. It is very potent in fighting off skin blemishes. Root water is composed of ancestor herbs and alcohol. It is supposed to be applied on the skin with the use of a cotton ball. Root water is known to force the skin to renew facial tissues. As such, it is best used with water-based skin moisturizers because it can dry the skin if used regularly for one to two weeks.

2. Anti-acne capsules with Chinese Herbs

If you go to a Chinese pharmacy and ask for a treatment for acne, they are more likely to produce a Chinese Herb capsule. These capsules contain only the most natural Chinese herbal medicine like Yi Yi Ren, Fu Ling, Huang Bai, Mu Dan Pi, Chi Shao, Huang Lian, and Gan Cao, among many others. The mixture of these Chinese herbs could work wonders on your acne-infested skin.

3. Acupuncture

Acupuncture is one of the oldest traditional Chinese procedures used in treating diseases. It involves the use of needles pricked on certain parts of the body to produce the healing effect. For acne, acupuncture is used so that heat will go out of the body. Chinese medicine believes that heat is the primary cause of acne. There are various sources of heat that needs to be released so the needles have to be placed on both local and distal points of the body. Points such as the large intestines and spleen are focused on.

From : articleclick.com

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อาการของไตวาย - การรักษา - การฟอกไต - การเปลี่ยนไต

อาการของไตวาย

เมื่อไตเริ่มวายผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการ แต่เมื่อไตเริ่มเสื่อมมากขึ้นผู้ป่วยจะปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยขึ้นเนื่องจากไตไม่สามารถดูดซึมน้ำกลับ นอกจากปัสสาวะตอนกลางคืนแล้วผู้ป่วยยังมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ความจำไม่ดี นอกจากนี้ยังมีอาการตามระบบต่างๆดังนี้

1. ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ [ neuromuscular] จะมีการกระตุกของกล้ามเนื้อ ปลายเท้าปลายมือชาเนื่องจากปลายประสาทอักเสบ [peripheral neuropathy ] เป็นตะคริว และชัก
2. ระบบทางเดินอาหาร [gastrointestinal] เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปากอักเสบ เป็นอาการที่พบที่พบทุกราย ถ้าไตวายมากขึ้นบางรายมีเลือดออกทางเดินอาหาร
3. ระบบหัวใจและหลอดเลือด [ cardiovascular ] ถ้าไตวายมากมีการคั่งของเกลือและน้ำจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง มีอาการบวมเนื่องจากหัวใจวาย บางรายมีอาการมีอาการเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ [ pericarditis ]
4. ผิวหนัง มีอาการคัน ผิวจะมีสีเหลือง-น้ำตาล


การรักษาโรคไต

การรักษาต้องรักษาปัจจัยที่ทำให้ไตเสื่อมมากขึ้น เช่น ภาวะขาดน้ำ ยาที่มีพิษต่อไต หัวใจวาย การติดเชื้อ หลักการรักษาไตวายประกอบด้วย

1. การควบคุมอาหารสำหรับโรคไต
2. การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
3. การล้างไตผ่านทางท้อง
4. การเปลี่ยนไต

การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม Hemodialysis

การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเป็นการนำเลือดผ่านเข้าเครื่องไตเทียมผ่านไปยังเยื่อ Hemodialyzer ซึ่งเป็น semipermeable membrane ซึ่งจะกรองเอาของเสียออก เลือดที่ผ่านการกรองก็จะกลับเข้าสู่เครื่องไตเทียม และเข้าสู่ร่างกาย ทำให้กำจัดของเสีย คุมความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ และรักษาระดับความดันให้ปกติ

การเตรียมการก่อนฟอกเลือด

ก่อนฟอกเลือดจะต้องมีการนำเลือดจากหลอดเลือดมาฟอกโดยทำได้ 2 วิธี

* ใช้เข็มเจาะเข้าหลอดเลือดที่หลอดเลือดบริเวณคด และหลอดเลือดขาหนีบ วิธีนี้ใช้ฟอกเลือดได้ 2-6 สัปดาห์
* วิธีที่สองเป็นการต่อหลอดเลือดแดง และดำ [arteriovenous [ A-V] fistular ]หลังต่อหลอดเลือดดำจะพองและขยายทำให้สามารถใช้เข็มเจาะเอาเลือดไปฟอกได้ วิธีนี้เป็นวิธีการถาวรแต่ต้องใช้เวลาให้หลอดเลือดดำพองตัว

ขณะฟอกท่านสามารถอ่านหนังสือหรือรับประทานอาหารได้ ใช้เวลาฟอก 2-4 ชั่วโมง อาทิตย์ละ2-3 ครั้ง

โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ

พบได้บ่อยคือ ความดันโลหิตต่ำ อาจเกิดจากผู้ป่วยกินยาลดความดันโลหิตก่อนฟอกและตะคริว เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่เร็วเกินไป ใช้เวลาในการปรับตัวหลายเดือน โรคแทรกซ้อนที่พบได้น้อยได้แก่ ไข้ เลือดออกทางเดินอาหาร คัน นอนไม่หลับเป็นต้น

ข้อห้ามการฟอกเลือดคือ ความดันโลหิตต่ำ และเลือดออก

ข้อปฏิบัติก่อนการฟอกเลือด

1. ควรงดรับประทานยาลดความดันโลหิตก่อนฟอก 4-6 ชั่วโมง
2. ถ้ามีการเสียเลือดมาก เช่นมีประจำเดือน อุจาระดำ อาเจียนเป็นเลือด ให้แจ้งแพทย์ก่อนฟอกเลือดทุกครั้ง

การปฏิบัติตนขณะฟอกเลือด

1. แขนข้างที่กำลังฟอกให้อยู่นิ่งๆ
2. เตรียมอาหารมารับประทานขณะฟอกเลือด
3. ถ้ามีอาการเวียนศีรษะ ใจสั่น ขณะฟอกให้แจ้งพยาบาลผู้ดูแลทันที

ข้อควรปฏิบัติหลังฟอกเลือด

* หลังการฟอกเลือดใหม่จะมีการห้ามเลือดโดยใช้พลาสเตอร์หรือผ้ากอซปิด เมื่อเลือดหยุดจึงเอาผ้าก๊อซออกและติดพลาสเตอร์
* รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
* รับประทานอาหารตามคำแนะนำดังกล่าวมาแล้ว
* ชั่งน้ำหนักทุกวัน โดยควบคุมมิให้น้ำหนักเพิ่มเกินวันละ 0.5 กก.
* หลังการฟอกเลือดให้ระวังการถูกกระแทกแรงๆเพราะจะทำให้เกิดช้ำได้

การรับประทานอาหาร

1. ให้รับประทานโปรตีนจากเนื้อปลา แทนจากถั่วและผัก
2. เลือกอาหารที่มีโพแทสเซียมไม่สูงไม่ต่ำเนื่องจากสูงหรือต่ำไปจะทำให้เกิดผลเสียต่อหัวใจ
3. จำกัดน้ำดื่มมิให้น้ำหนักเพิ่มเกินวันละ 0.5 กิโลกรัม
4. งดอาหารเค็ม
5. งดอาหารที่มี phosphate สูงดังกล่าวข้างต้น

การล้างไตผ่านทางท้อง

หลักการฟอกไตวิธีนี้คือการใส่สายเข้าไปในช่องท้อง แล้วใส่น้ำยาเข้าในช่องท้องเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วจึงปล่อยออก การฟอกมีด้วยกันหลายวิธี เช่น

* Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis (CAPD)
* Continuous Cyclic Peritoneal Dialysis (CCPD)
* Intermittent Peritoneal Dialysis (IPD)

ระยะเวลาในการฟอกขึ้นกับวิธีการฟอก เช่น (CAPD) ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ,(CCPD)ใช้เวลา 12 ชั่วโมง

โรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ช่องท้องอักเสบ ป้องกันโดยทำการล้างท้องแบบปราศจากเชื้อ

การดูแลหลังสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายที่ล้างไตผ่านทางหน้าท้อง

เนื่องจากผู้ที่ล้างไตผ่านทางหน้าท้องจะมีน้ำในท้อง และกล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแรง การยกของหนักจะทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ง่ายจึงมีคำแนะนำดังนี้

* คำนึงถึงน้ำหนักที่จะยกว่าหนักไปหรือไม่
* ให้ยกของใกล้ตัวมากที่สุด
* เวลาจะยกของให้กางขาออก เก้าเท้าไปข้างหน้าหนึ่งเท้า
* ให้ย่อเข่าแทนการก้ม
* อย่ายกของจากที่ชั้นที่สูง
* อย่ายกของและบิดเอว

การเปลี่ยนไต

คือการนำไตที่ไม่เป็นโรคมาผ่าตัดให้กับคนที่เป็นโรคไตวาย วิธีการได้มา อาจจะนำจากผู้ป่วยที่สมองตายแล้ว หรือจากการบริจาคของญาติ และเพื่อน ก่อนการเปลี่ยนไตแพทย์จะต้องตรวจเลือดและเนื้อเยื่อว่าเข้ากับผู้ป่วยหรือไม่เพื่อป้องกันการปฏิเสธเนื้อเยื่อ หลังการเปลี่ยนไตแพทย์จะให้ยากดภูมิรับประทาน

ที่มา: siamhealth.net

เตือนผู้สูงอายุ เลี่ยง อาหารเค็ม และ ชา กาแฟ




นอกจากรูปร่าง หน้าตา ที่ต้องดูแลให้สดชื่น สดใส อยู่เสมอแล้ว กระดูก ก็เป็นอีกหนึ่งอวัยวะสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เพราะหากวันใดวันหนึ่งเกิดอาการกระดูกพรุน กระดูกเปราะขึ้นมา ร่างกายจะสูญเสียการทรงตัว!! ดังนั้น โดยผู้หญิงอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป และผู้ชายอายุ 45 ปีขึ้นไป กระดูกจะปิดตัวและรอวันเสื่อม ในขณะที่ร่างกายไม่หยุดดูดแคลเซียมไปใช้งานทุกๆ วัน ถ้าไม่ดูแลให้ถูกวิธีอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับกระดูกตามมาได้

วิธีป้องกัน คือ ต้องรับแคลเซียมให้เพียงพอต่ออายุ โดยปกติอาหารไทยต่อมื้อจะมีแคลเซียม 400-500 มิลลิกรัม ขณะที่ร่างกายคนเราต้องการ 1,200-1,500 มิลลิกรัม จึงควรรับประทานแคลเซียมเม็ดเสริมเข้าไป หรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ เพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อ เช่น เวทเทรนนิ่ง, เพิ่มความแข็งแรงระบบหัวใจ-หลอดเลือด เช่น แอโรบิค เอ็กเซอร์ไซส์, เพิ่มความคงทนต่อการใช้งาน เช่น จ๊อกกิ้ง วิ่งมาราธอน และเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ เช่น โยคะ ไท้เก๊ก เป็นต้น ทั้งนี้ ควรออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัยและพละกำลังของตนเองด้วย ถ้าหักโหมมีเสียงกระดูกลั่นก๊อกแก๊ก นั่นเป็นสัญญาณอันตรายที่ควรไปพบแพทย์

ด้าน พญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์วัยวัฒน์ เมดดิไซน์ แนะนำหลักโภชนาการว่า หลักการรับประทานอาหาร ไม่ใช่แค่รับประทานครบ 3 มื้อ แต่ต้องรับประทานสารอาหารให้ครบถ้วน ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งต้องเพิ่มสารอาหารที่เสริมสร้างความหนาแน่นให้กระดูก อาทิ แคลเซียม มีมากในงาดำและพริกไทยดำ รับประทานวันละ 1 ช้อนโต๊ะ แมงกานีส-แมกนีเซียม-ฟอสฟอรัส พบในน้ำสับปะรด ดื่มวันละ 1 แก้ว ช่วยป้องกันการสลายของกระดูก วิตามินดี พบในแสงแดดตอน 8 โมงเช้า และ 4 โมงเย็น โบรอน พบมากในกะหล่ำปลี ช่วยเพิ่มเอสโตรเจน ซึ่งสารอาหารเกือบทั้งหมดอยู่ในผักใบเขียวและผลไม้ ตัวอย่าง สลัด 1 จาน มีแคลเซียมทั้งสิ้น 700 มิลลิกรัม นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงชา กาแฟ และอาหารรสเค็ม ซึ่งมีส่วนทำให้กระดูกเปราะง่าย

นอกจากนี้ยังมี กูรู ด้านกีฬา มาเผยถึงการออกกำลังกายสำหรับผู้มีปัญหากระดูกด้วย เริ่มจาก อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ มาสอนโยคะ และ ผศ.ดร.ราตรี เรืองไทย สอนการออกกำลังกายในน้ำ เนื่องจากในน้ำมีแรงดัน สามารถลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ พัฒนาระบบไหลเวียนของเลือดและหัวใจ และทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีปัญหาเรื่องกระดูกและข้อ รวมถึงผู้สูงอายุ สามารถเล่นง่ายๆ ด้วยตนเองด้วยการเดินช้าๆ ในน้ำ แบะขาไป 45 องศา และใช้มือวักน้ำดันไปข้างหน้า เดินไปกลับไปวัน 2 รอบ

ได้สูตรเด็ดไปบำรุงกระดูกกันแล้ว นำไปทำตามกันได้

ที่มา : news.sanook.com/

โรคปากนกกระจอก - อาการของโรค



โรคปากนกกระจอก เป็นแผลเปื่อยที่มุมปาก เกิดได้บ่อยๆ ตามตำรามักระบุถึงสาเหตุว่าเป็นจากการ ขาดวิตามินบี 2 riboflavin แต่ที่พบบ่อยกว่าในการตรวจดูเด็กๆ ที่เป็นมักเป็นจากการติดเชื้อเริม herpes simplex ที่ริมฝีปาก เด็กมักจะมีแผลเปื่อย เป็นๆ หายๆ กลับไปกลับมาหลายครั้ง การกินยาแบบวิตามินที่หวังว่ารักษาโรคปากนกกระจอกที่เกิดจากการขาดวิตามิน โรคจึงยังไม่หายครับ เชื้อเริมที่ว่าก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยามาทา หรือยามากินรักษา เพียงแต่ขอให้รักษาความสะอาดของปาก ริมฝีปาก ภายในช่องปาก โดยเฉพาะจากน้ำลายต้องแปรงฟัน บ้วนปากให้สะอาดหลังอาหารให้ดีไว้เสมอ เชื่อว่าแผลเปื่อยที่มุมปากในที่สุดก็จะหายได้เอง (นพ.จักรพันธ์ สุศิวะ )

โรคนี้พบมากกับคนชนบทโดยเฉพาะภาคอีสานและภาคเหนือ


สาเหตุ โรคปากนกกระจอก


เกิดจากร่างกายขาดวิตามินบี 2

อาการ โรคปากนกกระจอก

เป็นแผลที่มุมปากทั้ง 2 ข้าง (เมื่อหายมักมีแผลเป็น) ริมฝีปากแห้ง บวมตึงและแตก ลิ้นอักเสบ บวมแดง บางรายมีอาการทางผิวหนังอักเสบ ผิวแห้งแตกเป็นขุยบริเวณข้างจมูกและซอกหู

ที่มา : skn.ac.th

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โรคตาแดง อาการผิดปกติของตา คัน น้ำตาไหล แก้วตาขาว

โรคตาแดง เป็นการอักเสบของเยื่อบุตาขาวที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสที่ ชื่อ adenovirus แล้วเกิดการติดเชื้อที่เยื่อตาขาวเรียกว่า Epidemic keratoconjunctivitis (EKC) เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย รวดเร็ว และทำให้เกิดอาการขึ้นอย่างเฉียบพลัน

การติดต่อของโรคพบว่ามีการระบาดเป็นช่วงๆ ส่วนมากจะพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน การติดต่อโดยตรงจากการสัมผัส การใช้ของร่วมกัน การไอ หรือการหายใจรดกัน และมักเกิดการติดต่อกันในสถานที่ที่เป็นแหล่งชุมชนต่างๆ เช่น สถานศึกษา ที่ทำงาน สระว่ายน้ำ รวมทั้งห้างสรรพสินค้า ที่มีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน

อาการของโรค

http://img16.imageshack.us/img16/6144/conjunctivitisviral5263.jpghttp://img10.imageshack.us/img10/8515/conjunctivitis526864252.jpg

แพทย์จะถามถึงยาที่ท่านรับประทาน ยาหยอดตา เลนส์ น้ำยาล้างตา รยะเวลาที่เป็น อาการที่สำคัญคือ

1. คันตา เป็นอาการที่สำคัญของผู้ป่วยตาแดงที่เกิดจากภูมิแพ้ อาการคันอาจจะเป็นมากหรือน้อย คนที่เป็นโรคตาแดงโดยที่ไม่มีอาการคันไม่ใช่เกิดจากโรคภูมิแพ้ นอกจากนั้นอาจจะมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวเช่นหอบหืด ผื่นแพ้
2. ขี้ตา ลักษณะของขี้ตาก็ช่วยบอกสาเหตุของโรคตาแดง

- ขี้ตาใสเหมือนน้ำตามักจะเกิดจากไวรัสหรือโรคภูมิแพ้
- ขี้ตาเป็นเมือกขาวมักจะเกิดจากภูมิแพ้หรือตาแห้ง
- ขี้ตาเป็นหนองมักจะร่วมกับมีสะเก็ดปิดตาตอนเช้าทำให้เปิดตาลำบากสาเหตุมักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

3.ตาแดงเป็นข้องหนึ่งหรือสองข้าง

- เป็นพร้อมกันสองข้างโดยมากมักจะเกิดจากภูมิแพ้
- เป็นข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยเป็นสองข้างสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อเช่นแบคทีเรีย ไวรัส หรือ Chlamydia
- ผู้ที่มีโรคตาแดงข้างเดียวแบบเรื้อรัง ชนิดนี้ต้องส่งปรึกาแพทย์

4.อาการปวดตาหรือมองแสงจ้าไม่ได้ มักจะเกิดจากโรคชนิดอื่นเช่นต้อหิน ม่านตาอักเสบเป็นต้น ดังนั้นหากมีตาแดงร่วมกับปวดตาหรือมองแสงไม่ได้ต้องรีบพบแพทย์
5. ตามัว แม้ว่ากระพริบตาแล้วก็ยังมัวอยู่ โรคตาแดงมักจะเห็นปกติหากมีอาการตามัวร่วมกับตาแดงต้องปรึกษาแพทย์
6. ประวัติอื่น การเป็นหวัด การใช้ยาหยอดตา น้ำตาเทียม เครื่องสำอาง โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ประจำ



การรักษา

เนื่องจากโรคตาแดงเกิดจากเชื้อไวรัส จึงยังไม่มีวิธีการรักษาโดยเฉพาะ อีกทั้งยาต้านเชื้อไวรัสต่างๆ ที่มีขณะนี้ ใช้ไม่ได้ผลกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตาแดง ส่วนใหญ่แพทย์จะรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตา และป้ายตา เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งมักจะเกิดตามมา

ในผู้ที่เป็นตาแดงในตาข้างหนึ่ง ส่วนอีกตาข้างหนึ่งไม่มีอาการ ให้หยอดตาเฉพาะตาข้างหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องหยอดตาข้างปกติด้วย เพราะจะเป็นการนำเชื้อจากตาข้างที่เป็นไปยังตาข้างปกติ ถ้ามีอาการเจ็บตาให้รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล

ถ้ามีอาการเคืองตา แพทย์จะแนะนำให้ใส่แว่นกันแดด ไม่ควรปิดตา และไม่จำเป็นต้องล้างตา นอกจากนี้ผู้ป่วยควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และพักการใช้สายตา ระยะเวลาการรักษานานประมาณ 2 สัปดาห์

ลักษณะของโรคตาแดงที่ แพทย์ต้องดูแลเป็นพิเศษมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ ลักษณะแรก ถ้าเยื่อตาขาวอักเสบมากเสียจนผิวของเยื่อตาขาวลอกออก บางครั้งเยื่อตาขาวของเปลือกตากับเยื่อตาขาวของลูกตาอาจจะกลาย เป็นแผลเป็นติดกันได้ ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกวิธี

เพราะเนื้อมาประกบกันโดยที่ไม่มีหนังอยู่ตรงกลางจึงอาจจะติดกันจนแยกไม่ออกทำให้มีการระคายเคืองเรื้อรังได้

ลักษณะที่สอง ในส่วนของกระจกตาดำ เพราะเชื้อไวรัสบางตัวเมื่อแพร่เชื้อเข้าสู่กระจกตาดำ จะทำให้คนไข้มองอะไรไม่ค่อยชัด สู้แสงไม่ได้ ทำงานลำบาก

ลักษณะสุดท้าย คือ เรื่องของเปลือกตาที่บวมมาก มีน้ำตาไหลออกมาตลอดจนคนไข้กังวลมาก จึงต้องมีการดูอาการเป็นพิเศษ เพื่อรอให้หายไปเอง ด้วยการพูดคุยกับคนไข้ อธิบายให้เข้าใจ เพื่อให้เกิดสบายใจจากนั้นจะให้กลับไปรักษาตัวที่บ้านเมื่ออาการทุเลาลง

วิธีการป้องกันการติดต่อของโรค เนื่องจากโรคตาแดงยัง ไม่มีวิธีการรักษาโดยตรง วิธีการการป้องกันไม่ให้ติดโรคนี้ ทำได้โดยไม่ใช้สิ่งของปะปนกับผู้อื่น ไม่ใช้มือป้ายตาและขยี้ตาเพราะเชื้อโรคจะติดไปยังสิ่งของที่ผู้ป่วยหยิบจับ ล้างมือบ่อยๆ ให้สะอาด ห้ามใช้ยาหยอดตาร่วมกัน

ส่วนผู้ที่กำลังเป็นโรคตาแดง ควรทำการป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายจากตนเองไปสู่ผู้อื่น โดยผู้ที่มีอาการควรหยุดพักเรียนหรือพักงานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ไม่ควรอยู่ในที่ชุมชน รวมทั้งใส่แว่นตากันแดด เป็นการป้องกันฝุ่นละอองที่จะทำให้เกิดอาการระคายเคือง สำหรับการอยู่ร่วมกับผู้ป่วยนั้น

อย่ากลัวหรือกังวลในการติดโรคมากจนเกินไป เพราะเชื้อมีระยะเวลาในการแพร่ เพียงแต่ระมัดระวังไม่จับ สัมผัส หรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย ก็เพียงพอแล้ว

โรคตาแดง นอกจากจะเกิดจากเชื้อไวรัส อย่างที่กล่าวไปในต้นตอนแล้ว โรคตาแดงยัง อาจพบได้ในโรคตาอื่นๆ อีกหลายโรค และบางโรคเป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง คือทำให้มีการสูญเสียสายตาได้ เช่น ต้อหิน ม่านตาอักเสบ ตาดำอักเสบ ดังนั้นเมื่อเกิดมีอาการตาแดงขึ้น ควรได้รับการตรวจรักษาโดยแพทย์ ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง

แต่ทางที่ดีอย่าได้นิ่งนอนใจ ถึงแม้โรคตาแดงจะ ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำให้เราสูญเสียเวลาที่ต้องหยุดพักรักษาอาการ ทางที่ดีป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ หรือเมื่อเป็นแล้วก็ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที จะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

ที่มา : siamhealth.net

.

คนกินหวาน ระวังสมองเฉื่อย และความต้านทานต่ำ

คงเป็นข่าวร้ายพอสมควร สำหรับบรรดา "ชมรมคนรักความหวาน" ที่ชื่นชอบ "น้ำตาล" เป็นชีวิตจิตใจ เพราะผลวิจัยทางการแพทย์สรุปออกมาแล้วว่า มีภยันตรายที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้ความหวานนั้นมากมายทีเดียว

แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ เมื่อได้ตรวจสอบข้อมูลไปยังกระทรวงสาธารณสุขที่เฝ้าติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลของคนไทยทำให้พบว่า ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มเฉลี่ยจากคนละ 12 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2526 กลายเป็นคนละ 29 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2545

เรียกว่า เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 2 เท่าตัว

ซ้ำร้ายดัชนีที่เกิดขึ้นยังเป็นแนวโน้มเดียวกันกับการบริโภคน้ำตาลในรูปแบบขนม ลูกอมและเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ซึ่งปรากฏชัดเจนกับเด็กรุ่นใหม่ที่กระแสบริโภคถูกกระตุ้นโดยการโฆษณา

"จากข้อมูลทางโภชนาการและสุขภาพ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินควร นอกจากนำมาซึ่งปัญหาโรคอ้วนและโรคฟันผุแล้วการรับประทานน้ำตาลมากๆ มีอันตรายต่อสุขภาพหลายประการโดยน้ำตาลซูโครสหรือฟรุกโตส จะทำให้ระดับไขมัน กลูโคส อินซูลินและกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคเบาหวาน

http://i7.photobucket.com/albums/y288/chaolinz/chocolatetruf.jpg

"ผู้ที่ชอบกินหวานจัดบ่อยๆ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไป ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้ การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อยๆ ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง อีกทั้งการรับประทานน้ำตาลซูโครสมาก ทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง ผลที่ตามมาก็คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ซึ่งหากเป็นในเด็กจะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็นวัยทำงานก็จะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ" นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลถึงอันตรายจากการบริโภคน้ำตาล เมื่อติดตามพิษร้ายที่เกิดจากความหวานต่อไป ก็ทำให้ได้ข้อมูลอีกด้วยว่า การรับประทานอาหารรสหวานมากไป จะทำให้เด็กอิ่มและตัดโอกาสที่เด็กจะได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย


ผลการศึกษาในปี พ.ศ.2546 พบว่าเด็กกลุ่มอายุ 6-15 ปี ได้รับอาหารที่ให้พลังงานมากถึง 23 % สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 10 % กว่าเท่าตัว ตรงนี้บ่งชี้ว่า สถานการณ์การกินหวานในเด็กไทย อยู่ในขั้นที่ควรร่วมกันแก้ไขโดยด่วน

"ในความเป็นจริงนั้น การติดหวานสามารถถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วัยเริ่มต้นของชีวิต โดยพ่อแม่และผู้ใหญ่เป็นกลุ่มแรกที่สร้างภาวะให้เด็กติดหวาน เนื่องจากบริโภคนิสัยของเด็กจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงขวบปีแรก เริ่มจากนมและอาหารเสริมที่ป้อนให้ เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กจะติดอาหารหวานและจะเพิ่มปริมาณความหวานมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากคนที่เคยชินรสหวาน เมื่อได้รสหวานสมองจะหลั่งสารชนิดหนึ่งเรียกว่าโอปิออยด์( Opioid) ออกมาทำให้เกิดความพอใจ และอยากกินหวาน ทำให้อ้วนได้เร็ว

"ดังนั้น ตลอดปี 2547 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนในเรื่องนี้อย่างจริงจังโดยเริ่มจากส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่แทนนมขวด พร้อมทั้งจะมีการประกวดโรงพยาบาลปลอดนมขวดทั่วประเทศ ส่งเสริมให้เด็กกินนมรสจืด แทนนมรสหวานหรือนมปรุงรส ส่งเสริมให้เด็กกินผลไม้ที่รสไม่หวานแทนการกินขนมหวาน และรณรงค์ให้งดการเติมน้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว อีกทั้งให้งดการดื่มน้ำอัดลมและอมท๊อฟฟี่ด้วย" ปลัดกระทรวงสาธารณสุขสรุปแผนการรณรงค์เพื่อให้เด็กไทยรอดพ้นจากการบริโภคความหวานมากเกินไปทิ้งท้าย

ที่มา : http://variety.mwake.com

อาหารหวานๆ กับเด็กๆ ของหวาน ความอร่อยที่ควรระวัง

เด็กกับของหวานนี่เป็นของที่แยกกันไม่ได้เลย ความหวานทำให้เกิดความสดชื่น จนบางคนถือว่าการได้กินของหวานทำให้แจ่มใสมีความสุข

และเกิดอาการติดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ไม่น่ามีอะไรที่เป็นปัญหามาก แต่ตามหลักทางพุทธของเราอะไรที่มากเกินไปก็มักมีปัญหาทั้งนั้นครับ แล้วเด็กจะมีปัญหาอะไรบ้าง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

เรื่องของหวาน ๆ นี่ตามธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์สำหรับเด็กและทุกคน เนื่องจากน้ำตาลซึ่งมีรสหวานจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นมาในระดับที่ร่างกายต้องการ การกินน้ำตาลมักทำให้อารมณ์ดี มีความกระปรี้กระเปร่าแม้ในขณะที่หิวมาก ๆ ก็ยังรู้สึกดีขึ้นมากถ้าได้กินน้ำตาลหรือน้ำหวานสักแก้ว

ปัญหาก็คือเมื่อกินของที่มีรสหวานก็จะเกิดความอยากบ่อยขึ้นและจะเกิดการติด ใจเลยกินไม่เลิก ตอนนี้แหละครับลำบาก ในเด็กนี่เร็วมากครับพอได้ลิ้มชิมรสหวานแล้วละก็ ไม่เอาแล้วของรสจืด เลิกกินกันไปเลย ปัญหาก็คือของที่เราป้อนไม่ว่าจะเป็นข้าว นม ก็เป็นของจืดทั้งนั้น เด็กก็เลยพาลไม่ยอมกินกันเลย จะกินแต่ของหวาน นาน ๆ เข้าก็เลยต้องใส่น้ำตาลในอาหารทุกอย่าง หรือแม้แต่นมก็ต้องมีรสหวาน ทีนี้แหละครับ ปัญหาก็ตามมาเป็นพรวนเลย

http://img9.imageshack.us/img9/477/6662536681433670123.jpghttp://img14.imageshack.us/img14/7791/12449890403835353383724.jpg

เมื่อเด็กกินของหวานเข้า โดยทั่วไปผู้ใหญ่มักจะคิดว่าเด็กจะกินได้มากขึ้น แต่ในเด็กที่ผอมและกินอาหารยากกลับกินไม่ลง ในทางตรงกันข้ามในเด็กที่อ้วนกลับกินไม่พอ เนื่องจากเด็กที่ผอมระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นจะไปทำให้ระดับฮอร์โมน อินซูลินสูงขึ้น เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ทำหน้าที่สองอย่างครับ คือทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงเนื่องจากน้ำตาลถูกนำไปใช้ หน้าที่อีกอย่างก็คือไปกดความต้องการอาหารในเด็ก ในขณะที่เด็กอ้วนนั้นระดับอินซูลินไม่สามารถระงับความต้องการอาหารได้ ก็เลยกินเอา กินเอาไม่ยอมหยุดด้วย ความเอร็ดอร่อย ทีนี้ที่คิดว่าจะแก้ปัญหาให้กินได้มากขึ้นในเด็กผอมก็เลยกลายเป็นสร้างปัญหา ไป นอกจากนี้น้ำตาลหวาน ๆ พวกนี้ก็ยังสร้างปัญหาโลกแตกให้คุณหมอฟันมากเลยครับ ลองคิดดูว่าถ้าเด็กเล็กโดยเฉพาะที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบนี่ จะแปรงฟันทีก็ยากเย็นแสนเข็ญ ถ้าติดนมหวาน ขนมหวาน แถมติดขวดนมอีก แย่แน่ เพราะจะต้องฟันผุแน่นอนครับ ปัญหาเป็นปัญหาใหญ่มากจนทำให้ที่ประเทศสิงคโปร์โฆษณาชวนเชื่อให้เด็กเลิกของ หวานกันเลย แถมในรัฐแคลิฟอร์เนียก็มีข่าวแว่ว ๆ ว่าอาจไม่ให้ขายน้ำโค้ก แสดงว่าเขาเอาจริงครับ แต่ในประเทศเราท่าทางจะยากเนื่องจากความเข้าใจเรื่องนี้มีน้อย ขนาดนมในโรงเรียนยังเป็นนมหวานเลยครับ แต่ก็เป็นที่น่ายินดีที่มีข่าวว่าอีกไม่นาน นมโรงเรียนจะเปลี่ยนเป็นนมจืดทั้งหมดแล้ว แหม น่าดีใจแทนเด็ก ๆ


ความหวานนี่เคยมีคนพิสูจน์มาแล้วว่าทำให้เด็กค่อนข้างซุกซนผิดปกติ แถมยังไม่ค่อยมีสมาธิกับการเรียน ถึงแม้ว่าการศึกษาระยะหลัง ๆ ไม่ค่อยสนับสนุนนัก แต่ก็มีคนที่ค่อนข้างเชื่อว่า สมาธิกับของหวานน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ก็คงต้องรองานวิจัยที่แน่ชัดต่อไป แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ความหวานมีส่วนทำให้เด็กที่อ้วนอยู่แล้ว อ้วนมากขึ้น และอ้วนง่าย เนื่องจากความหวานมีรสอร่อย เด็กก็เลยกินมากเป็นธรรมดา ยิ่งอร่อยยิ่งอยากกิน จนในที่สุดก็อ้วนฉุ เอ บาคนถามว่าน้ำตาลอ้วนได้ยังไง ก็ขอเล่าแจ้งแถลงไปให้ทราบกันเลยว่าน้ำตาลนี่เปลี่ยนไปเป็นไขมันได้นะครับ พออ้วนมาก ๆ เข้า ก็ทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สำหรับรายละเอียดของโรคเหล่านี้ผมก็เล่าแจ้งไปบ้างใน Health Today ฉบับก่อน ๆ แล้วนะครับ



มีคนมักถามว่าผลไม้หวาน ๆ ล่ะ? กินได้มั้ย คำตอบก็คือว่า ความจริง ถ้ากินผลไม้กันเป็นผล ๆ และกินไม่มากจนเกินไป ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะผลไม้ที่กินทั้งผลมักจะได้กากใยด้วย ซึ่งเป็นผลดีต่อลำไส้และการขับถ่าย แถมทำให้การดูดซึมไม่เร็วไปนัก แต่คนเดี๋ยวนี้ขี้เกียจเคี้ยวกัน จะกินผลไม้ก็ต้องกินแต่น้ำ จะกินผักก็กินแต่น้ำผัก ผมว่าท่าทางจะขี้เกียจเคี้ยวมากไปหน่อย ก็เลยทำให้อดกินของดี ๆ อีกหลายอย่างที่มีในผักและผลไม้ เดี๋ยวนี้เครื่องคั้นผลไม้แบบแยกกากมีขายกันเกร่อ ทำให้กินกันแต่น้ำผลไม้ไม่กินกากกันเลย ความจริงกากผลไม้นั่นแหละครับของดี ส่วนน้ำผลไม้นั่นไม่เท่าไหร่ มีวิตามินนิดหน่อยกับน้ำตาลก็เท่านั้นเอง ถ้ากินมาก ๆ ไปก็ไม่ใช่ว่าจะดีนะครับ บางคนกินน้ำผลไม้วันละเป็นลิตร ๆ เลยได้น้ำตาลไปมากเกินควร ก็อ้วนได้นะครับ

ก็เล่าสู่กันฟังสำหรับของหวานกับเด็ก ผมว่าความจริงแม้ว่าเด็กกับของหวานจะเป็นของคู่กันก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้เด็กกินหรือรู้จักขนมหวานมากนัก อาจให้เด็กกินผลไม้และอาหารที่มีรสหวานได้บ้าง แต่ก็ไม่ควรมากหรือบ่อยเกินไป การกินอาหารรสไม่จัดน่าจะเป็นประโยชน์กับเด็กมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นความเชื่อที่ว่าการกินนมที่มีรสหวานจะทำให้เด็กสามารถกินนม ได้มากขึ้นนั้นไม่เป็นจริงอย่างที่คิด แถมยังมีผลเสียมากมาย ที่สำคัญบางคนให้เด็กกินนมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้กินนมบ้าง แต่ไม่ทันคิดว่านมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ที่ขายตามท้องตลาดนั้นมีเนื้อนมแค่ประมาณครึ่งเดียว แต่มีน้ำตาลค่อนข้างสูงเด็กทีกิ่นแล้วเลยพาลไม่กินข้าวไปเลย

"ในความเป็นจริงนั้น การติดหวานสามารถถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วัยเริ่มต้นของชีวิต โดยพ่อแม่และผู้ใหญ่เป็นกลุ่มแรกที่สร้างภาวะให้เด็กติดหวาน เนื่องจากบริโภคนิสัยของเด็กจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงขวบปีแรก เริ่มจากนมและอาหารเสริมที่ป้อนให้ เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กจะติดอาหารหวานและจะเพิ่มปริมาณความหวานมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากคนที่เคยชินรสหวาน เมื่อได้รสหวานสมองจะหลั่งสารชนิดหนึ่งเรียกว่าโอปิออยด์( Opioid) ออกมาทำให้เกิดความพอใจ และอยากกินหวาน ทำให้อ้วนได้เร็ว

"ดังนั้น ตลอดปี 2547 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนในเรื่องนี้อย่าง จริงจังโดยเริ่มจากส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่แทนนมขวด พร้อมทั้งจะมีการประกวดโรงพยาบาลปลอดนมขวดทั่วประเทศ ส่งเสริมให้เด็กกินนมรสจืด แทนนมรสหวานหรือนมปรุงรส ส่งเสริมให้เด็กกินผลไม้ที่รสไม่หวานแทนการกินขนมหวาน และรณรงค์ให้งดการเติมน้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว อีกทั้งให้งดการดื่มน้ำอัดลมและอมท๊อฟฟี่ด้วย" ปลัดกระทรวงสาธารณสุขสรุปแผนการรณรงค์เพื่อให้เด็กไทยรอดพ้นจากการบริโภค ความหวานมากเกินไปทิ้งท้าย

ที่มา : numwan.com,variety.teenee.com

อาหารออร์แกนิก อาหารยอดนิยมในยุคสมัยนี้

เราทราบกัน หรือไม่ว่า ปัจจุบันคนเรามีความเสี่ยงต่อการได้รับสารเคมีมากกว่า 15,000 ชนิด ทั้งจากอาหาร น้ำดื่ม อากาศ สิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารพิษ ทั้งพิษจากโลหะหนัก สารตะกั่ว พลาสติก กระบวนการปิโตรเคมี ภาชนะที่ใส่อาหาร และอื่น ๆ อีกมากมาย ด้วยพิษภัยของสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและสิ่งแวดล้อม ทำให้ร่างกายกลายเป็นแหล่งสะสมสารพิษ และส่งผลให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บ อาทิ ออทิสติก หอบหืด ภูมิต้านทานบกพร่อง โรคระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท โรคผิวหนัง อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ รวมไปถึงโรคมะเร็ง ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการจากสภาวะแวดล้อมในปัจจุบัน อาหารออร์แกนิกจึงกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของคนรักสุขภาพ เพราะเป็นอาหารจากธรรมชาติเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง

การใส่ใจดูแลสุขภาพนับเป็นสิ่งที่ดีกับชีวิตคนเรา รวมทั้งอาหารการกินถือเป็นปัจจัยหลักที่ต้องยิ่งใส่ใจ และในเวลานี้ อาหารออร์แกนิก กำลังอินเทรนด์ให้คนที่สนใจสุขภาพได้รับประทานกัน...

การใส่ใจดูแลสุขภาพ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำอย่างเดียว คงจะไม่สมบูรณ์ ต้องทำควบคู่ กับอาหารการกินด้วย โดย "อาหารออร์แกนิก" กำลังอินเทรนด์กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความสนใจมากขึ้น



สถาบันวิจัยและพัฒนาจุยส์ บิวตี้ ออร์แกนิก สกินแคร์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา อธิบายว่า ออร์แกนิกเป็นการเกษตรแบบอินทรีย์ เพื่อแก้ไขปัญหาของสารเคมี สะสมในธรรมชาติที่เป็นอันตรายต่อชีวิต กระบวนการผลิตจึงต้องใส่ใจตั้งแต่การปรับคุณภาพของดินและน้ำ ปัจจัยพื้นฐานสำคัญในขั้นตอนการผลิตวัตถุดิบ รวมถึง การควบคุมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ไม่ให้มีการเจือปนของ สารเคมี เช่น ปลูกพืชตามฤดูกาล, หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทางการเกษตรและสารพิษทุกชนิด, รักษาความสมบูรณ์ของดินโดยไม่ใช้สารเคมี จึงทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์ตามธรรมชาติอย่างเต็มที่ สถาบันวิจัยและพัฒนาจุยส์ บิวตี้ ยังพบว่า น้ำผลไม้ออร์แกนิกได้ให้คุณค่าวิตามินและแร่ธาตุได้มากกว่าผลไม้ธรรมดาถึง 50% โดยเฉพาะคุณค่าต่อผิวพรรณ จึงได้นำส่วนผสมของน้ำผลไม้ออร์แกนิกเข้มข้น 98% มาผลิตเป็นสกินแคร์บำรุงผิวต่างๆ เช่น เจลทำความสะอาด, เซรั่ม, ครีม และโลชั่นบำรุงผิว ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย เพราะไม่มีน้ำหอมหรือสารเคมีเจือปน

http://img23.imageshack.us/img23/1102/a21327504232752406.jpg


ทางสถาบันฯแนะนำอีกว่า การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวควรมีความระมัดระวัง เพราะผิวของเราสามารถดูดซึมสิ่งที่ทาลงไปได้ถึง 64% ถ้าเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ เจือปนด้วยสารก่อมะเร็ง เช่น พาราเบน ที่พบในเครื่องสำอางไม่ได้มาตรฐาน อาจก่อให้เกิดโรคร้ายตามมาได้ นอกจากนี้ ยังต้องระวังออร์แกนิกปลอม ที่อ้างว่ามีส่วนผสมจากพืชผลไม้ออร์แกนิก แต่แท้จริงแล้วคือน้ำเปล่าเป็นหลัก แล้วค่อยเติมส่วนผสมออร์แกนิก ทำให้สัดส่วนออร์แกนิคมีไม่ถึง 5% เมื่อใช้ไปแล้วจึงไม่เห็นผล ทางที่ดีผู้บริโภคต้องตรวจสอบจากฉลากของผลิตภัณฑ์ด้วย.

ที่มา : thaipr.net, thairath.co.th