วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อาหารหวานๆ กับเด็กๆ ของหวาน ความอร่อยที่ควรระวัง

เด็กกับของหวานนี่เป็นของที่แยกกันไม่ได้เลย ความหวานทำให้เกิดความสดชื่น จนบางคนถือว่าการได้กินของหวานทำให้แจ่มใสมีความสุข

และเกิดอาการติดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ไม่น่ามีอะไรที่เป็นปัญหามาก แต่ตามหลักทางพุทธของเราอะไรที่มากเกินไปก็มักมีปัญหาทั้งนั้นครับ แล้วเด็กจะมีปัญหาอะไรบ้าง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

เรื่องของหวาน ๆ นี่ตามธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์สำหรับเด็กและทุกคน เนื่องจากน้ำตาลซึ่งมีรสหวานจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นมาในระดับที่ร่างกายต้องการ การกินน้ำตาลมักทำให้อารมณ์ดี มีความกระปรี้กระเปร่าแม้ในขณะที่หิวมาก ๆ ก็ยังรู้สึกดีขึ้นมากถ้าได้กินน้ำตาลหรือน้ำหวานสักแก้ว

ปัญหาก็คือเมื่อกินของที่มีรสหวานก็จะเกิดความอยากบ่อยขึ้นและจะเกิดการติด ใจเลยกินไม่เลิก ตอนนี้แหละครับลำบาก ในเด็กนี่เร็วมากครับพอได้ลิ้มชิมรสหวานแล้วละก็ ไม่เอาแล้วของรสจืด เลิกกินกันไปเลย ปัญหาก็คือของที่เราป้อนไม่ว่าจะเป็นข้าว นม ก็เป็นของจืดทั้งนั้น เด็กก็เลยพาลไม่ยอมกินกันเลย จะกินแต่ของหวาน นาน ๆ เข้าก็เลยต้องใส่น้ำตาลในอาหารทุกอย่าง หรือแม้แต่นมก็ต้องมีรสหวาน ทีนี้แหละครับ ปัญหาก็ตามมาเป็นพรวนเลย

http://img9.imageshack.us/img9/477/6662536681433670123.jpghttp://img14.imageshack.us/img14/7791/12449890403835353383724.jpg

เมื่อเด็กกินของหวานเข้า โดยทั่วไปผู้ใหญ่มักจะคิดว่าเด็กจะกินได้มากขึ้น แต่ในเด็กที่ผอมและกินอาหารยากกลับกินไม่ลง ในทางตรงกันข้ามในเด็กที่อ้วนกลับกินไม่พอ เนื่องจากเด็กที่ผอมระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นจะไปทำให้ระดับฮอร์โมน อินซูลินสูงขึ้น เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ทำหน้าที่สองอย่างครับ คือทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงเนื่องจากน้ำตาลถูกนำไปใช้ หน้าที่อีกอย่างก็คือไปกดความต้องการอาหารในเด็ก ในขณะที่เด็กอ้วนนั้นระดับอินซูลินไม่สามารถระงับความต้องการอาหารได้ ก็เลยกินเอา กินเอาไม่ยอมหยุดด้วย ความเอร็ดอร่อย ทีนี้ที่คิดว่าจะแก้ปัญหาให้กินได้มากขึ้นในเด็กผอมก็เลยกลายเป็นสร้างปัญหา ไป นอกจากนี้น้ำตาลหวาน ๆ พวกนี้ก็ยังสร้างปัญหาโลกแตกให้คุณหมอฟันมากเลยครับ ลองคิดดูว่าถ้าเด็กเล็กโดยเฉพาะที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบนี่ จะแปรงฟันทีก็ยากเย็นแสนเข็ญ ถ้าติดนมหวาน ขนมหวาน แถมติดขวดนมอีก แย่แน่ เพราะจะต้องฟันผุแน่นอนครับ ปัญหาเป็นปัญหาใหญ่มากจนทำให้ที่ประเทศสิงคโปร์โฆษณาชวนเชื่อให้เด็กเลิกของ หวานกันเลย แถมในรัฐแคลิฟอร์เนียก็มีข่าวแว่ว ๆ ว่าอาจไม่ให้ขายน้ำโค้ก แสดงว่าเขาเอาจริงครับ แต่ในประเทศเราท่าทางจะยากเนื่องจากความเข้าใจเรื่องนี้มีน้อย ขนาดนมในโรงเรียนยังเป็นนมหวานเลยครับ แต่ก็เป็นที่น่ายินดีที่มีข่าวว่าอีกไม่นาน นมโรงเรียนจะเปลี่ยนเป็นนมจืดทั้งหมดแล้ว แหม น่าดีใจแทนเด็ก ๆ


ความหวานนี่เคยมีคนพิสูจน์มาแล้วว่าทำให้เด็กค่อนข้างซุกซนผิดปกติ แถมยังไม่ค่อยมีสมาธิกับการเรียน ถึงแม้ว่าการศึกษาระยะหลัง ๆ ไม่ค่อยสนับสนุนนัก แต่ก็มีคนที่ค่อนข้างเชื่อว่า สมาธิกับของหวานน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ก็คงต้องรองานวิจัยที่แน่ชัดต่อไป แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ความหวานมีส่วนทำให้เด็กที่อ้วนอยู่แล้ว อ้วนมากขึ้น และอ้วนง่าย เนื่องจากความหวานมีรสอร่อย เด็กก็เลยกินมากเป็นธรรมดา ยิ่งอร่อยยิ่งอยากกิน จนในที่สุดก็อ้วนฉุ เอ บาคนถามว่าน้ำตาลอ้วนได้ยังไง ก็ขอเล่าแจ้งแถลงไปให้ทราบกันเลยว่าน้ำตาลนี่เปลี่ยนไปเป็นไขมันได้นะครับ พออ้วนมาก ๆ เข้า ก็ทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สำหรับรายละเอียดของโรคเหล่านี้ผมก็เล่าแจ้งไปบ้างใน Health Today ฉบับก่อน ๆ แล้วนะครับ



มีคนมักถามว่าผลไม้หวาน ๆ ล่ะ? กินได้มั้ย คำตอบก็คือว่า ความจริง ถ้ากินผลไม้กันเป็นผล ๆ และกินไม่มากจนเกินไป ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะผลไม้ที่กินทั้งผลมักจะได้กากใยด้วย ซึ่งเป็นผลดีต่อลำไส้และการขับถ่าย แถมทำให้การดูดซึมไม่เร็วไปนัก แต่คนเดี๋ยวนี้ขี้เกียจเคี้ยวกัน จะกินผลไม้ก็ต้องกินแต่น้ำ จะกินผักก็กินแต่น้ำผัก ผมว่าท่าทางจะขี้เกียจเคี้ยวมากไปหน่อย ก็เลยทำให้อดกินของดี ๆ อีกหลายอย่างที่มีในผักและผลไม้ เดี๋ยวนี้เครื่องคั้นผลไม้แบบแยกกากมีขายกันเกร่อ ทำให้กินกันแต่น้ำผลไม้ไม่กินกากกันเลย ความจริงกากผลไม้นั่นแหละครับของดี ส่วนน้ำผลไม้นั่นไม่เท่าไหร่ มีวิตามินนิดหน่อยกับน้ำตาลก็เท่านั้นเอง ถ้ากินมาก ๆ ไปก็ไม่ใช่ว่าจะดีนะครับ บางคนกินน้ำผลไม้วันละเป็นลิตร ๆ เลยได้น้ำตาลไปมากเกินควร ก็อ้วนได้นะครับ

ก็เล่าสู่กันฟังสำหรับของหวานกับเด็ก ผมว่าความจริงแม้ว่าเด็กกับของหวานจะเป็นของคู่กันก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้เด็กกินหรือรู้จักขนมหวานมากนัก อาจให้เด็กกินผลไม้และอาหารที่มีรสหวานได้บ้าง แต่ก็ไม่ควรมากหรือบ่อยเกินไป การกินอาหารรสไม่จัดน่าจะเป็นประโยชน์กับเด็กมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นความเชื่อที่ว่าการกินนมที่มีรสหวานจะทำให้เด็กสามารถกินนม ได้มากขึ้นนั้นไม่เป็นจริงอย่างที่คิด แถมยังมีผลเสียมากมาย ที่สำคัญบางคนให้เด็กกินนมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้กินนมบ้าง แต่ไม่ทันคิดว่านมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ที่ขายตามท้องตลาดนั้นมีเนื้อนมแค่ประมาณครึ่งเดียว แต่มีน้ำตาลค่อนข้างสูงเด็กทีกิ่นแล้วเลยพาลไม่กินข้าวไปเลย

"ในความเป็นจริงนั้น การติดหวานสามารถถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วัยเริ่มต้นของชีวิต โดยพ่อแม่และผู้ใหญ่เป็นกลุ่มแรกที่สร้างภาวะให้เด็กติดหวาน เนื่องจากบริโภคนิสัยของเด็กจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงขวบปีแรก เริ่มจากนมและอาหารเสริมที่ป้อนให้ เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กจะติดอาหารหวานและจะเพิ่มปริมาณความหวานมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากคนที่เคยชินรสหวาน เมื่อได้รสหวานสมองจะหลั่งสารชนิดหนึ่งเรียกว่าโอปิออยด์( Opioid) ออกมาทำให้เกิดความพอใจ และอยากกินหวาน ทำให้อ้วนได้เร็ว

"ดังนั้น ตลอดปี 2547 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนในเรื่องนี้อย่าง จริงจังโดยเริ่มจากส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่แทนนมขวด พร้อมทั้งจะมีการประกวดโรงพยาบาลปลอดนมขวดทั่วประเทศ ส่งเสริมให้เด็กกินนมรสจืด แทนนมรสหวานหรือนมปรุงรส ส่งเสริมให้เด็กกินผลไม้ที่รสไม่หวานแทนการกินขนมหวาน และรณรงค์ให้งดการเติมน้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว อีกทั้งให้งดการดื่มน้ำอัดลมและอมท๊อฟฟี่ด้วย" ปลัดกระทรวงสาธารณสุขสรุปแผนการรณรงค์เพื่อให้เด็กไทยรอดพ้นจากการบริโภค ความหวานมากเกินไปทิ้งท้าย

ที่มา : numwan.com,variety.teenee.com

Related Posts by Categories



Widget by Hoctro | Jack Book

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น