วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Chinese Herbal Remedies for Acne

Acne is a common skin physical state that is characterized by many symptoms, such as pimples, blackheads, and whiteheads. Almost everybody develops acne, no matter what ethnicity, age group, or gender. Studies have stubborn that acne ordinarily starts around the age of adolescence, where young men and young women are going through rapid hormonal changes in the dramatize of puberty.

How does one get acne? According to sources, this occurrence is not usually caused by food, but the symptoms, like pimples, whiteheads, and blackheads, can be aggravated by certain types of food. Just a short article of the skin: the surface is called the epidermis, with trillions of tiny openings called pores. Below that layer is the dermis, which contains oil glands or sebaceous glands, hair follicles, and sensory receptors. Acne happens when the sebaceous glands overproduce oil, which can remain within the pores when dead skin cells or hair follicles block it. Pimples are raised bumps on the epidermis which are filled with pus or oil.

http://static.howstuffworks.com/gif/traditional-chinese-herbal-medicine-1.jpghttp://303tek.com/wp-content/uploads/podpress_temp/2009/02/acne1-main_full.jpg

There are many ways by which acne can be treated, but as studies have shown, there is still no definite way of preventing the symptoms from coming back. A lot of researches say that acne is more genetic in nature, as some persons actively secret more oil from their glands than others. Keeping the skin clean, and washing it regularly with mild soap and warm water maintains its integrity. Also, when you have pimples, avoid popping or squeezing them as this can create a scar or a skin infection. There are creams and other skin products that are public in the market, but there is a majority of acne victims that choose to use Chinese herbs for treating the problem.

Dating back thousands of years, Chinese medicine has long used products from nature, such as plants and fungi, for curing certain conditions. The effectiveness and success of such remedies have been the focus of hundreds of medical studies, which is why at the present, thousands of these Chinese herbs have been composite into up-to-date medicine.

What are the Chinese herbs that are often recommended for treating acne?

1. Root water

Root water is a Chinese herbal product obtained from the forests of China. It is very potent in fighting off skin blemishes. Root water is composed of ancestor herbs and alcohol. It is supposed to be applied on the skin with the use of a cotton ball. Root water is known to force the skin to renew facial tissues. As such, it is best used with water-based skin moisturizers because it can dry the skin if used regularly for one to two weeks.

2. Anti-acne capsules with Chinese Herbs

If you go to a Chinese pharmacy and ask for a treatment for acne, they are more likely to produce a Chinese Herb capsule. These capsules contain only the most natural Chinese herbal medicine like Yi Yi Ren, Fu Ling, Huang Bai, Mu Dan Pi, Chi Shao, Huang Lian, and Gan Cao, among many others. The mixture of these Chinese herbs could work wonders on your acne-infested skin.

3. Acupuncture

Acupuncture is one of the oldest traditional Chinese procedures used in treating diseases. It involves the use of needles pricked on certain parts of the body to produce the healing effect. For acne, acupuncture is used so that heat will go out of the body. Chinese medicine believes that heat is the primary cause of acne. There are various sources of heat that needs to be released so the needles have to be placed on both local and distal points of the body. Points such as the large intestines and spleen are focused on.

From : articleclick.com

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อาการของไตวาย - การรักษา - การฟอกไต - การเปลี่ยนไต

อาการของไตวาย

เมื่อไตเริ่มวายผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการ แต่เมื่อไตเริ่มเสื่อมมากขึ้นผู้ป่วยจะปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยขึ้นเนื่องจากไตไม่สามารถดูดซึมน้ำกลับ นอกจากปัสสาวะตอนกลางคืนแล้วผู้ป่วยยังมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ความจำไม่ดี นอกจากนี้ยังมีอาการตามระบบต่างๆดังนี้

1. ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ [ neuromuscular] จะมีการกระตุกของกล้ามเนื้อ ปลายเท้าปลายมือชาเนื่องจากปลายประสาทอักเสบ [peripheral neuropathy ] เป็นตะคริว และชัก
2. ระบบทางเดินอาหาร [gastrointestinal] เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปากอักเสบ เป็นอาการที่พบที่พบทุกราย ถ้าไตวายมากขึ้นบางรายมีเลือดออกทางเดินอาหาร
3. ระบบหัวใจและหลอดเลือด [ cardiovascular ] ถ้าไตวายมากมีการคั่งของเกลือและน้ำจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง มีอาการบวมเนื่องจากหัวใจวาย บางรายมีอาการมีอาการเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ [ pericarditis ]
4. ผิวหนัง มีอาการคัน ผิวจะมีสีเหลือง-น้ำตาล


การรักษาโรคไต

การรักษาต้องรักษาปัจจัยที่ทำให้ไตเสื่อมมากขึ้น เช่น ภาวะขาดน้ำ ยาที่มีพิษต่อไต หัวใจวาย การติดเชื้อ หลักการรักษาไตวายประกอบด้วย

1. การควบคุมอาหารสำหรับโรคไต
2. การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
3. การล้างไตผ่านทางท้อง
4. การเปลี่ยนไต

การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม Hemodialysis

การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเป็นการนำเลือดผ่านเข้าเครื่องไตเทียมผ่านไปยังเยื่อ Hemodialyzer ซึ่งเป็น semipermeable membrane ซึ่งจะกรองเอาของเสียออก เลือดที่ผ่านการกรองก็จะกลับเข้าสู่เครื่องไตเทียม และเข้าสู่ร่างกาย ทำให้กำจัดของเสีย คุมความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ และรักษาระดับความดันให้ปกติ

การเตรียมการก่อนฟอกเลือด

ก่อนฟอกเลือดจะต้องมีการนำเลือดจากหลอดเลือดมาฟอกโดยทำได้ 2 วิธี

* ใช้เข็มเจาะเข้าหลอดเลือดที่หลอดเลือดบริเวณคด และหลอดเลือดขาหนีบ วิธีนี้ใช้ฟอกเลือดได้ 2-6 สัปดาห์
* วิธีที่สองเป็นการต่อหลอดเลือดแดง และดำ [arteriovenous [ A-V] fistular ]หลังต่อหลอดเลือดดำจะพองและขยายทำให้สามารถใช้เข็มเจาะเอาเลือดไปฟอกได้ วิธีนี้เป็นวิธีการถาวรแต่ต้องใช้เวลาให้หลอดเลือดดำพองตัว

ขณะฟอกท่านสามารถอ่านหนังสือหรือรับประทานอาหารได้ ใช้เวลาฟอก 2-4 ชั่วโมง อาทิตย์ละ2-3 ครั้ง

โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ

พบได้บ่อยคือ ความดันโลหิตต่ำ อาจเกิดจากผู้ป่วยกินยาลดความดันโลหิตก่อนฟอกและตะคริว เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่เร็วเกินไป ใช้เวลาในการปรับตัวหลายเดือน โรคแทรกซ้อนที่พบได้น้อยได้แก่ ไข้ เลือดออกทางเดินอาหาร คัน นอนไม่หลับเป็นต้น

ข้อห้ามการฟอกเลือดคือ ความดันโลหิตต่ำ และเลือดออก

ข้อปฏิบัติก่อนการฟอกเลือด

1. ควรงดรับประทานยาลดความดันโลหิตก่อนฟอก 4-6 ชั่วโมง
2. ถ้ามีการเสียเลือดมาก เช่นมีประจำเดือน อุจาระดำ อาเจียนเป็นเลือด ให้แจ้งแพทย์ก่อนฟอกเลือดทุกครั้ง

การปฏิบัติตนขณะฟอกเลือด

1. แขนข้างที่กำลังฟอกให้อยู่นิ่งๆ
2. เตรียมอาหารมารับประทานขณะฟอกเลือด
3. ถ้ามีอาการเวียนศีรษะ ใจสั่น ขณะฟอกให้แจ้งพยาบาลผู้ดูแลทันที

ข้อควรปฏิบัติหลังฟอกเลือด

* หลังการฟอกเลือดใหม่จะมีการห้ามเลือดโดยใช้พลาสเตอร์หรือผ้ากอซปิด เมื่อเลือดหยุดจึงเอาผ้าก๊อซออกและติดพลาสเตอร์
* รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
* รับประทานอาหารตามคำแนะนำดังกล่าวมาแล้ว
* ชั่งน้ำหนักทุกวัน โดยควบคุมมิให้น้ำหนักเพิ่มเกินวันละ 0.5 กก.
* หลังการฟอกเลือดให้ระวังการถูกกระแทกแรงๆเพราะจะทำให้เกิดช้ำได้

การรับประทานอาหาร

1. ให้รับประทานโปรตีนจากเนื้อปลา แทนจากถั่วและผัก
2. เลือกอาหารที่มีโพแทสเซียมไม่สูงไม่ต่ำเนื่องจากสูงหรือต่ำไปจะทำให้เกิดผลเสียต่อหัวใจ
3. จำกัดน้ำดื่มมิให้น้ำหนักเพิ่มเกินวันละ 0.5 กิโลกรัม
4. งดอาหารเค็ม
5. งดอาหารที่มี phosphate สูงดังกล่าวข้างต้น

การล้างไตผ่านทางท้อง

หลักการฟอกไตวิธีนี้คือการใส่สายเข้าไปในช่องท้อง แล้วใส่น้ำยาเข้าในช่องท้องเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วจึงปล่อยออก การฟอกมีด้วยกันหลายวิธี เช่น

* Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis (CAPD)
* Continuous Cyclic Peritoneal Dialysis (CCPD)
* Intermittent Peritoneal Dialysis (IPD)

ระยะเวลาในการฟอกขึ้นกับวิธีการฟอก เช่น (CAPD) ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ,(CCPD)ใช้เวลา 12 ชั่วโมง

โรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ช่องท้องอักเสบ ป้องกันโดยทำการล้างท้องแบบปราศจากเชื้อ

การดูแลหลังสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายที่ล้างไตผ่านทางหน้าท้อง

เนื่องจากผู้ที่ล้างไตผ่านทางหน้าท้องจะมีน้ำในท้อง และกล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแรง การยกของหนักจะทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ง่ายจึงมีคำแนะนำดังนี้

* คำนึงถึงน้ำหนักที่จะยกว่าหนักไปหรือไม่
* ให้ยกของใกล้ตัวมากที่สุด
* เวลาจะยกของให้กางขาออก เก้าเท้าไปข้างหน้าหนึ่งเท้า
* ให้ย่อเข่าแทนการก้ม
* อย่ายกของจากที่ชั้นที่สูง
* อย่ายกของและบิดเอว

การเปลี่ยนไต

คือการนำไตที่ไม่เป็นโรคมาผ่าตัดให้กับคนที่เป็นโรคไตวาย วิธีการได้มา อาจจะนำจากผู้ป่วยที่สมองตายแล้ว หรือจากการบริจาคของญาติ และเพื่อน ก่อนการเปลี่ยนไตแพทย์จะต้องตรวจเลือดและเนื้อเยื่อว่าเข้ากับผู้ป่วยหรือไม่เพื่อป้องกันการปฏิเสธเนื้อเยื่อ หลังการเปลี่ยนไตแพทย์จะให้ยากดภูมิรับประทาน

ที่มา: siamhealth.net

เตือนผู้สูงอายุ เลี่ยง อาหารเค็ม และ ชา กาแฟ




นอกจากรูปร่าง หน้าตา ที่ต้องดูแลให้สดชื่น สดใส อยู่เสมอแล้ว กระดูก ก็เป็นอีกหนึ่งอวัยวะสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เพราะหากวันใดวันหนึ่งเกิดอาการกระดูกพรุน กระดูกเปราะขึ้นมา ร่างกายจะสูญเสียการทรงตัว!! ดังนั้น โดยผู้หญิงอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป และผู้ชายอายุ 45 ปีขึ้นไป กระดูกจะปิดตัวและรอวันเสื่อม ในขณะที่ร่างกายไม่หยุดดูดแคลเซียมไปใช้งานทุกๆ วัน ถ้าไม่ดูแลให้ถูกวิธีอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับกระดูกตามมาได้

วิธีป้องกัน คือ ต้องรับแคลเซียมให้เพียงพอต่ออายุ โดยปกติอาหารไทยต่อมื้อจะมีแคลเซียม 400-500 มิลลิกรัม ขณะที่ร่างกายคนเราต้องการ 1,200-1,500 มิลลิกรัม จึงควรรับประทานแคลเซียมเม็ดเสริมเข้าไป หรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ เพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อ เช่น เวทเทรนนิ่ง, เพิ่มความแข็งแรงระบบหัวใจ-หลอดเลือด เช่น แอโรบิค เอ็กเซอร์ไซส์, เพิ่มความคงทนต่อการใช้งาน เช่น จ๊อกกิ้ง วิ่งมาราธอน และเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ เช่น โยคะ ไท้เก๊ก เป็นต้น ทั้งนี้ ควรออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัยและพละกำลังของตนเองด้วย ถ้าหักโหมมีเสียงกระดูกลั่นก๊อกแก๊ก นั่นเป็นสัญญาณอันตรายที่ควรไปพบแพทย์

ด้าน พญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์วัยวัฒน์ เมดดิไซน์ แนะนำหลักโภชนาการว่า หลักการรับประทานอาหาร ไม่ใช่แค่รับประทานครบ 3 มื้อ แต่ต้องรับประทานสารอาหารให้ครบถ้วน ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งต้องเพิ่มสารอาหารที่เสริมสร้างความหนาแน่นให้กระดูก อาทิ แคลเซียม มีมากในงาดำและพริกไทยดำ รับประทานวันละ 1 ช้อนโต๊ะ แมงกานีส-แมกนีเซียม-ฟอสฟอรัส พบในน้ำสับปะรด ดื่มวันละ 1 แก้ว ช่วยป้องกันการสลายของกระดูก วิตามินดี พบในแสงแดดตอน 8 โมงเช้า และ 4 โมงเย็น โบรอน พบมากในกะหล่ำปลี ช่วยเพิ่มเอสโตรเจน ซึ่งสารอาหารเกือบทั้งหมดอยู่ในผักใบเขียวและผลไม้ ตัวอย่าง สลัด 1 จาน มีแคลเซียมทั้งสิ้น 700 มิลลิกรัม นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงชา กาแฟ และอาหารรสเค็ม ซึ่งมีส่วนทำให้กระดูกเปราะง่าย

นอกจากนี้ยังมี กูรู ด้านกีฬา มาเผยถึงการออกกำลังกายสำหรับผู้มีปัญหากระดูกด้วย เริ่มจาก อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ มาสอนโยคะ และ ผศ.ดร.ราตรี เรืองไทย สอนการออกกำลังกายในน้ำ เนื่องจากในน้ำมีแรงดัน สามารถลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ พัฒนาระบบไหลเวียนของเลือดและหัวใจ และทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีปัญหาเรื่องกระดูกและข้อ รวมถึงผู้สูงอายุ สามารถเล่นง่ายๆ ด้วยตนเองด้วยการเดินช้าๆ ในน้ำ แบะขาไป 45 องศา และใช้มือวักน้ำดันไปข้างหน้า เดินไปกลับไปวัน 2 รอบ

ได้สูตรเด็ดไปบำรุงกระดูกกันแล้ว นำไปทำตามกันได้

ที่มา : news.sanook.com/

โรคปากนกกระจอก - อาการของโรค



โรคปากนกกระจอก เป็นแผลเปื่อยที่มุมปาก เกิดได้บ่อยๆ ตามตำรามักระบุถึงสาเหตุว่าเป็นจากการ ขาดวิตามินบี 2 riboflavin แต่ที่พบบ่อยกว่าในการตรวจดูเด็กๆ ที่เป็นมักเป็นจากการติดเชื้อเริม herpes simplex ที่ริมฝีปาก เด็กมักจะมีแผลเปื่อย เป็นๆ หายๆ กลับไปกลับมาหลายครั้ง การกินยาแบบวิตามินที่หวังว่ารักษาโรคปากนกกระจอกที่เกิดจากการขาดวิตามิน โรคจึงยังไม่หายครับ เชื้อเริมที่ว่าก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยามาทา หรือยามากินรักษา เพียงแต่ขอให้รักษาความสะอาดของปาก ริมฝีปาก ภายในช่องปาก โดยเฉพาะจากน้ำลายต้องแปรงฟัน บ้วนปากให้สะอาดหลังอาหารให้ดีไว้เสมอ เชื่อว่าแผลเปื่อยที่มุมปากในที่สุดก็จะหายได้เอง (นพ.จักรพันธ์ สุศิวะ )

โรคนี้พบมากกับคนชนบทโดยเฉพาะภาคอีสานและภาคเหนือ


สาเหตุ โรคปากนกกระจอก


เกิดจากร่างกายขาดวิตามินบี 2

อาการ โรคปากนกกระจอก

เป็นแผลที่มุมปากทั้ง 2 ข้าง (เมื่อหายมักมีแผลเป็น) ริมฝีปากแห้ง บวมตึงและแตก ลิ้นอักเสบ บวมแดง บางรายมีอาการทางผิวหนังอักเสบ ผิวแห้งแตกเป็นขุยบริเวณข้างจมูกและซอกหู

ที่มา : skn.ac.th